สุนัขจิ้งจอก (Fox)

สุนัขจิ้งจอกทะเลทราย (Fennec Fox)

1

คนทั่วไปรู้จักกันในนามสุนัขจิ้งจอกทะเลทรายแต่ชื่อทางการคือ “เฟนเน็กฟ​อก​ซ์”(Fennec Fox)

Fennec Fox เป็นสุนัขจิ้งจอกที่มีขนาดเล็กที่สุด ขนด้านบนของลำตัวเป็นสีทราย สามารถ​สะท้อน​แสง​แดด​กัน​ความ​ร้อน​ไม่​ให้​ถึง​ผิวพร้อม​กับ​สะสม​ความ​ร้อน​เพื่อ​ช่วย​ให้​เกิด​ความ​อบอุ่น​ใน​ช่วง​เวลา​เย็น รอบดวงตา หน้าผากและส่วนท้องเป็นสีขาว หาง เป็น​พวง​ฟู คล้าย​หาง​กระรอก ปลาย​หาง​ขน​สี​ดำ 
มันใต้เท้า​จะ​มี​ขน​ที่​หนา​นุ่ม​เพื่อ​ให้​สามารถ​เดิน​ใน​พื้น​ทราย​ที่​ร้อน​ใน​ช่วง​เวลา​กลางวัน และมีหูขนาดใหญ่และ​ยาว 10-15 ซม. ซึ่ง​เป็น​ลักษณะ​ที่​เด่น​ของ​พวก​มัน นอกจาก​ทำ​หน้าที่​ช่วย​กระจาย​ความ​ร้อน ยัง​รับ​เสียง​ได้​ไว​แม้​เหยื่อ​จะ​อยู่​ใต้ดิน ดวงตา กลม​ใส , หากินกลางคืน กิน​ทั้ง​พืช สัตว์ ผัก​ใบ​เขียว ผล​ไม้ แมลง ​และ สัตว์​เลื้อยคลาน​ขนาด​เล็ก  มันขุดรูอาศัยอยู่ในพื้นทรายและมีการอาศัยอยู่แบบรวมกลุ่ม แหล่งที่อยู่อาศัย ได้แก่ ทะเลทรายซาฮาร่าตอนเหนือในแอฟริกาเหนือ คาบสมุทรซีนาย และทะเลทรายตอนเหนือของซาอุดิอาระเบีย ซูดาน อียิปต์
…ที่​พิเศษ​สุด​พวก​มัน​สามารถ​อยู่​ใน​ทะเลทราย​โดย​ไม่​ต้อง​พึ่ง​น้ำ แม้​จะ​เป็น​สัตว์​กลางคืน​ แต่​ก็​มี​นิสัย​ที่​ชอบ​อาบแดด… โต​เต็มที่​มี​น้ำหนัก​เพียง 0.68-1.6 กิโลฯ ลำ​ตัว​ยาว 24-40 ซม. สูง 20.3 ซม.​โดย​พวก​มัน​สามารถ​กระโดด​ล่า​เหยื่อ​ได้​สูง​ถึง 61 ซม. ​และ​ไกล​ถึง 120 ซม. เข้า​สู่​วัย​เจริญพันธุ์ เมื่อ​อายุ​ประมาณ 9 เดือน ขยาย​ประชากร​ปี​ละ​ครั้ง ​เป็น​สัตว์​ที่​มี​คู่​ตัว​เดียว​ตลอด​ชีวิต ตัวผู้​จะ​ดุร้าย​และ​หวง​คู่ อีก​ทั้ง​ทำ​หน้าที่​คอย​หา​อาหาร​ให้​ตัวเมีย​ตลอด​เวลา​ช่วง​ที่​ตั้ง​ท้อง​และ​ให้​นม ที่​ครอก​หนึ่ง​จะ​มี​ประมาณ 1-4 ตัว 

สุนัขจิ้งจอกขั้วโลก (Arctic Fox) 

2

ในหน้าร้อนจะมีขนสีเทาอมน้ำตาล ส่วนในหน้าหนาวจะมีขนสีขาวและในบางครั้ง มีการรักษาสีขนไว้คงเดิมตามแหล่งที่อยู่สุนัขจิ้งจอกขั้วโลกจะมีใบหน้าและหูที่สั้นกว่าหมาจิ้งจอกชนิดอื่น ขนของมันฟูหนา เพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อน มันจะมีขนอยู่บริเวณอุ้งเท้าเพื่อช่วยให้เดิน และวิ่งบนพื้นน้ำแข็งได้ในช่วงที่หิมะตกหนักหรือมีพายุ  สุนัขจิ้งจอกขั้วโลกจะขุดโพรงลึกใต้หิมะเพื่อใช้อาศัย มีทางเข้าออกหลายทาง มันขดตัวนอนโดยใช้หางของมันตวัดมาปิดตัวและหน้าไว้คล้ายคนห่มผ้าห่มแหล่งที่อยู่อาศัยของสุนัขจิ้งจอกขั้วโลกได้แก่ยุโรปเหนือแถวละติจูดที่ 25 องศาเหนือ รัสเซีย อลาสกา หมู่เกาะคูริล
สุนัขจิ้งจอกขั้วโลก มีสองประเภท คือ สุนัขจิ้งจอกขาว (White Arctic Fox) และ สุนัขจิ้งจอกฟ้า (Blue Arctic Fox)
สุนัขจิ้งจอกขั้วโลกสามารถรับมือกับอุณหภูมิระดับ – 40 องศาเซลเซียส  เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
สุนัขจิ้งจอกขาว (White Arctic Fox) อาศัยอยู่ในที่ๆเต็มไปด้วยหิมะ สุนัขจิ้งจอกขาวมีขนสีขาวเพื่อให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมรอบตัว ช่วยให้ล่าเหยื่อได้ง่าย และสามารถพรางตัวจากศัตรูได้อีกด้วย
ส่วนสุนัขจิ้งจอกฟ้า (Blue Arctic Fox) อาศัยอยู่ในเขตชายผั่งมหาสมุทรอาร์คติก ที่มีโขดหินขรุขระ และมีหิมะน้อยกว่า สุนัขจิ้งจอกฟ้าจึงมีขนสีฟ้าอมเทาเพื่อให้ดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมรอบตัว

ความแตกต่างระหว่างสุนัขจิ้งจอกทะเลทราย และสุนัขจิ้งจอกขั้วโลก
สุนัขจิ้งจอกทะเลทราย อยู่ในที่ที่อากาศร้อนจึงต้องมีหูขนาดใหญ่เพื่อช่วยลดความร้อน ส่วนสุนัขจิ้งจอกขั้วโลกอยู่ในที่ที่อากาศหนาวเย็นจึงต้องมีหูขนาดเล็กเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกาย

 

ตัวตุ่น (Mole)

3

ตัวตุ่นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตัวตุ่นมีลำตัวยาวประมาณ 9 ~ 18 cm และมีหางยาวประมาณ 1.2 ~ 3.5 cm และอาศัยอยู่ในรูใต้ดินตลอดเวลา จะไม่ขึ้นมาบนพื้นดินหากไม่จำเป็น รูใต้ดินของตัวตุ่นมีทางยาวมาก  ที่ปลายสุดของรูใต้ดินจะใช้เป็นที่กลับตัว ซึ่งมีความกว้างเพียงขนาดเท่าตัวของตัวตุ่น รูที่ตัวตุ่นทำขึ้นนั้นจะถูกอัดไปตามผนังเพื่อให้แน่นและแข็งแรง บางส่วนจะถูกดันขึ้นเหนือพื้นดิน มีลักษณะเป็นเนิน ตัวตุ่นมีลำตัวเป็นทรงกระบอก มีคอ ไม่ชัดเจน มีปากยาว ไม่มีใบหู และ มีตาที่เล็กมาก และถูกซ่อนอยู่ใต้ขน เพื่อไม่ให้ดินเข้าตาเวลาขุด ตัวตุ่นมีเท้าหน้าขนาดใหญ่มาก ความยาวและความกว้างของฝ่าเท้าเกือบจะเท่ากัน เล็บเท้าทั้ง 5 แข็งแรง มีขนาดใหญ่ และยาว และมีรูปร่างเหมือนพลั่ว เพื่อใช้ในการขุดดิน แต่ใช้เดินบนพื้นดินไม่ได้ หากขึ้นมาบนดินจะได้เพียงแค่คลานเท่านั้น ขาหลังมีขนาดเล็ก ตามปกติตัวตุ่นมีขนที่ตรงและอ่อนนุ่ม ขนมีสีน้ำตาลเข้ม หรือน้ำตาลแดง หัวและลำตัวด้านล่างเป็นสีส้ม ซึ่งสีจะเปลี่ยนไปตามการขับของเหลวทางผิวหนัง ปกติแล้วตัวตุ่นอาศัยอยู่ลำพัง ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายน  ตัวตุ่นตัวเมียจะมีระยะตั้งท้องประมาณ 6 สัปดาห์และมักจะมีลูกครอกละ 2 ~ 7 ตัว ตัวตุ่นมีอายุเฉลี่ยประมาณ 3 ปี อาหารหลักของตัวตุ่นคือไส้เดือนดิน และสามารถกินอาหารได้เท่ากับน้ำหนักตัวเนื่องจากตัวตุ่นมีกระบวนเมทาบอลิซึมสูงมาก ตัวตุ่นสามารถเก็บเสบียงอาหารไว้ในรูใต้ดินได้ เราสามารถพบตัวตุ่นได้ในเกาหลี ญี่ปุ่น จีน

ตาของตัวตุ่นที่เสื่อม
เพราะตัวตุ่นใช้ชีวิตอยู่ในพื้นดินที่มีดและไม่มีแสง ทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นค่อยๆเสื่อมลงเพราะแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์ ตัวตุ่นจึงพัฒนาสัมผัสต่างๆ เช่นการสัมผัส และดมกลิ่นได้ดี เพื่อความอยู่รอด มัดมีเท้าที่สามารถใช้หาอาหารกินและขุดดินได้ดี นอกจากนี้ตัวตุ่นยังมีความสามารถในการดมกลิ่นได้ดีอีกด้วย

 

เป็ด (Duck)

4

เป็ดเป็นสัตว์ปีกชนิดหนึ่ง ปากของเป็ดแบน ไม่มีฟัน และขอบปากทั้งสองข้างมีลักษณะเหมือนซี่หวี เพื่อช่วยจับสัตว์น้ำและพืชน้ำเป็นอาหาร ขาของเป็ดสั้นและมีพังผืดยึดติดกันระหว่างนิ้วเท้า 3 นิ้ว เพื่อสะดวกในการว่ายน้ำ ขาของเป็ดมีเส้นเลือดฝอยมากซึ่งช่วยไม่ให้มันหนาว เป็ดมีขนาดตัวเล็กกว่าหงส์และห่าน เป็ดสร้างรังอาศัยอยู่ได้ทั้งบนบกหรือในน้ำ อย่างเช่น ทุ่งหญ้า กอต้นอ้อ หรือ ต้นกุก เป็นต้น และพ่อแม่เป็ดจะใช้ขนอกอันอ่อนนุ่มของตัวเองรองไข่ไว้ ทันทีที่ลูกเป็ดออกจากไข่ก็จะมีขนนุ่มๆ ปกคลุมทั่วร่างกายแล้วหัดว่ายน้ำตามพ่อแม่เป็ด  อาหารของเป็ดคือ ปลา หญ้า เมล็ดข้าว พืชน้ำ แมลง ฯลฯ ขนของเป็ดสามารถใช้ประโยชน์สำหรับเครื่องนอน เช่น ปลอกหมอน

สีของเป็ด
ขนของลูกเป็ดเป็นสีเหลือง ขนจะเป็นสีเหลืองตั้งแต่เกิดจนโต เมื่อโตเต็มที่แล้วขนที่เคยเป็นสีเหลืองจะเปลี่ยนเป็นสีขาว

หน้าที่ของต่อมไขมันในเป็ด
สาเหตุที่เป็ดลอยตัวในน้ำได้ดีและว่ายน้ำเก่งเป็นเพราะเป็ดมีต่อมไขมัน เพราะไขมันมีคุณสมบัติคือไม่รวมตัวกับน้ำ การที่ตัวของเป็ดมีต่อมไขมันจึงช่วยให้เป็ดสามารถลอยตัวในน้ำได้ดี

 

หมี (Bear)

หมีขั้วโลก (Polar bear)

5

หมีขั้วโลกหรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า หมีขาว เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีรูปร่างที่แตกต่างจากหมีชนิดอื่นๆ เช่น มีหัวที่เล็กกว่าหมีชนิดอื่น นิ้วเท้าสั้น มีคอที่ยาวและมีหูขนาดเล็ก หมีขั้วโลกมีขนที่ฝ่าเท้า และมีปุ่มที่เรียกว่า “papillae” เพื่อใช้เดินบนพื้นน้ำแข็ง มีชั้นไขมันหนาประมาณ 10 เซนติเมตร  ในบางครั้งไขมันที่หนาของหมีขั้วโลกอาจทำให้ความร้อนในตัวสูงเกินไป การเดินอย่างเชื่องช้า จะสามารถควบคุมอุณหภูมิในร่างกายได้  หมีขั้วโลกมีขนสีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อน  ตามการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่มีทั้งน้ำแข็งและหิมะ แต่ผิวหนังของมันเป็นสีดำเพื่อดูดซึมความร้อนจากแสงอาทิตย์ ป้องกันความหนาว หมีขั้วโลกทั้งหมดว่ายน้ำและดำน้ำได้เก่ง อาหารของหมีขั้วโลกได้แก่ แมวน้ำ ปลา  นกทะเล กวางเรนเดียร์ เป็นต้น ส่วนในหน้าร้อนจะกินพวกผลไม้ เช่น องุ่น องุ่นป่า กูสเบอร์รี่ เป็นต้น  หมีขั้วโลกไม่มีการจำศีล พวกมันอยู่ในถ้ำแค่ชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงอากาศที่ย่ำแย่เท่านั้น  อยู่อาศัยตามลำพังยกเว้นในช่วงฤดูผสมพันธุ์  โดยปกติหมีขั้วโลกมีอายุเฉลี่ย 15  - 18 ปี เราสามารถพบหมีขั้วโลกได้เพียงไม่กี่แห่งทั่วโลก ได้แก่ รัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, นอร์เวย์ , รัสเซีย และ เกาะกรีนแลนด์ เดนมาร์ก

สาเหตุที่หมีขั้วโลกว่ายน้ำเก่ง
เพราะหมีขั้วโลกมีพังผืดที่เท้าคล้ายกับเป็ด อุ้งเท้าที่หนาทำหน้าที่เปรียบเสมือนไม้พาย จึงทำให้ว่ายน้ำเก่ง พวกมันสามารถว่ายน้ำด้วยความเร็วเฉลี่ย 6 ไมล์ต่อชั่วโมง

 

วิธีการนับสมัยโบราณ

6

จำนวนกับวิธีการนับได้มีการพัฒนามาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์  มนุษย์สมัยโบราณมีความจำเป็นในการนับตามการพัฒนาสังคมยุคสมัย เช่น แต่ละเผ่ามีสมาชิกเท่าไร เผ่าเรามีสมาชิกมากกว่าหรือน้อยกว่าเผ่าอื่นอยู่เท่าไร และที่สำคัญจำเป็นต้องนับเพื่อให้แน่ใจว่า ฝูงสัตว์ของตนไม่ได้มีจำนวนลดลง วิธีการนับสมัยโบราณนั้นสามารถอธิบายอย่างง่ายๆว่าเป็นหลักการความสอดคล้องแบบหนึ่งต่อหนึ่ง

เวลามนุษย์สมัยโบราณนับจำนวนแกะจะใช้ก้อนกรวดหรือกิ่งไม้แทนแกะแต่ละตัวแล้วนำมารวมกันพร้อมกับเปรียบเทียบจำนวนแกะเหล่านั้น ตราบใดที่หินยังมีรอยแตก วิธีการนับย่อมพัฒนารูปแบบไปเรื่อยๆด้วยเช่นกัน

 

ที่มาของระบบเลขฐานสิบ

7

การนับจำนวนด้วยหน่วย 10 เช่น 1, 10, 100, 1000 โดยใช้ตัวเลข 1 ~ 9 เรียกว่า ระบบเลขฐานสิบ

ระบบเลขฐานสิบนั้นเกิดจากการใช้สัญลักษณ์ด้วยตัวเลขกันอย่างกว้างขวาง เป็นเลขฐานปกติที่คนทั่วไปใช้ อันเนื่องจากมนุษย์มีนิ้วมือ 10 นิ้ว ในระบบเลขฐานสิบ ทุกครั้งที่จำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า หลักจำนวนก็จะเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจำนวนมากหรือน้อยเพียงใด เราก็จะแสดงด้วยตัวเลขเพียง 10 ตัวเท่านั้น ทั้งนี้ระบบเลขฐานสิบนั้นมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย ต่อมาได้เผยแพร่มายังจีน และเข้ามาสู่ประเทศของเรา

 

ที่มาของตัวเลข 0

8

ก่อนสมัยโบราณกาล ไม่มีเลขศูนย์เนื่องจากคนสมัยก่อนไม่ได้ใช้  เพราะใช้เพื่อนับสัตว์เลี้ยง  เวลานับก็เริ่มจาก 1 , 2 , …
การใช้ตัวเลขอารบิกแสดงการบวก ลบ คูณ หาร จะสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งในบรรดาตัวเลขอารบิกนั้นมีตัวเลข 0

ตัวเลขนี้จะมีค่าแตกต่างไปตามตำแหน่ง ในตอนแรกไม่มีตัวเลขนี้ในตัวเลขอารบิก แต่ใช้การเว้นวรรคแทน ต่อมาก็มีคนเริ่มใช้สัญลักษณ์วงกลมแทนจนกระทั่งเป็นจุดกำเนิดของ ‘0’ ตลอดจนมีการพัฒนา ‘0’ เป็นตัวเลขแสดง ‘การไม่มีอะไรเลย’  จากการค้นพบ ‘0’ นี้ ทำให้เราใช้ตัวเลขตั้งแต่ 1 ถึง 9 เก้าตัวกับ ‘0’ ในการสร้างจำนวนที่มีค่ามากๆได้สะดวกยิ่งขึ้น

 

เลขมงคล และ เลขอัปมงคล

9

เลขมงคล
เลข 7 ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภของหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศญี่ปุ่นด้วย ความเชื่อที่ว่า 7 เป็นเลขนำโชคนั้นเป็นของวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งมีที่มาจากพระคัมภีร์ไบเบิล  
ในประเทศเกาหลีเชื่อว่า ‘3’ เป็นเลขนำโชค บรรพบุรุษของชาวเกาหลีเชื่อว่า ‘1’ เป็นผู้ชายและ ‘2’ เป็นผู้หญิง ทั้งนี้ ‘3’ เป็นผลรวมของ ‘1’ กับ ‘2’ จึงเชื่อกันว่าเป็นตัวเลขที่รวมทั้งผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งหมายถึงการแต่งงานของชายกับหญิงแล้วให้กำเนิดบุตร จึงเชื่ออีกว่าเป็นตัวเลขที่หมายถึงการเกิดใหม่
ในประเทศจีนเชื่อว่า ‘8’ เป็นเลขมงคล เนื่องจาก ‘8’ ออกเสียงพ้องกับคำศัพท์ในภาษาจีนกวางตุ้ง คำว่า fa (ฟา) ที่มีความหมายว่า ทรัพย์สินเพิ่มพูน  ร่ำรวย หรือ มั่งมี รวมทั้งยังหมายถึง 8 เซียน ที่คอยปกป้องดูแล รักษาลูกหลานอีกด้วย และชาวตะวันตกเชื่อว่า ‘8’ มีรูปร่างคล้ายเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ ที่หมายถึงไม่มีที่สิ้นสุด ( infinity) ทำให้ชาวตะวันตกเชื่อว่า ‘8’ เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นนิรันดร์ ไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นอมตะ
ในประเทศไทยเชื่อว่า ‘9’ เป็นเลขมงคล เนื่องจากออกเสียงพ้องกับคำว่า ก้าว หมายถึง ก้าวไปข้างหน้า

เลขอัปมงคล
แล้วเลขที่นำโชคร้ายคือเลขใด ชาติตะวันออกส่วนใหญ่เชื่อว่าเลข ‘4’ เป็นเลขอัปมงคล เนื่องจาก ‘4’ ออกเสียงในภาษาจีนคล้ายกับคำว่า ตาย และภาษาญี่ปุ่นสื่อไปถึงคำว่า 死 (ชิ : ความตาย) ประเทศต่างๆที่ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมจีนจึงเชื่อว่า ‘4’ เป็นลางร้ายและอัปมงคล ชาติตะวันตกเชื่อว่าเลข ‘13’ เป็นเลขอัปมงคลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร การที่เลข ‘13’ เป็นเลขอัปมงคลยังมีการบันทึกอย่างเป็นทางการในคัมภีร์ไบเบิลรวมถึงมีการกล่าวถึงในตำนานของนอร์เวย์อีกด้วย โดยเล่าว่า วันหนึ่งมีการจัดเลี้ยงบนสวรรค์เพื่อเลือกหัวหน้าเทพองค์ที่ 13 จากเดิมมีมาแล้ว 12 คน เมื่อเทพแห่งความชั่วร้ายไม่ได้รับเลือกก็ก่อเหตุทะเลาะวิวาทจนได้ตำแหน่งหัวหน้าเทพองค์ที่ 13  ดันนั้นจึงเป็นที่มาของการที่เลข ‘13’ เป็นเลขอัปมงคล

 

Show and Tell day

10

เป็นกิจกรรมที่นักเรียนได้ฝึกพูดหน้าชั้นเรียนในหัวข้อที่กำหนดให้ อาจจะมีการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับหัวข้อที่เรียนในห้องเรียนหรือเป็นการให้นักเรียนเตรียมเรื่องที่แต่ละคนสนใจ แล้วออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน พร้อมทั้งของที่ต้องการนำเสนอ เช่น สิ่งที่นำมาเสนอได้มาจากที่ใด ใช้สำหรับทำอะไร และ ของสิ่งนั้นทำงานยังไง เป็นต้น        กิจกรรมดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มทักษะการพูดให้กับนักเรียนและเป็นการฝึกพูดแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณชน ทั้งยังสามารถสร้างความมั่นใจให้นักเรียนได้อีกด้วย เมื่อนักเรียนออกมาอธิบายให้เพื่อนร่วมชั้นฟังถึงเรื่องราวของสิ่งของต่างๆว่าได้มาอย่างไรและได้มาจากที่ไหนจะทำให้เกิดความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น รวมถึงทักษะการฟังและความร่วมมือกันในกิจกรรม

 

ความแตกต่างของไก่ตัวเมียกับไก่ตัวผู้

11

ข้อแรก เมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอก ไก่ตัวผู้จะดูสง่างามมากกว่าไก่ตัวเมีย สีสันสดกว่าและมีสีที่หลากหลายกว่า รวมถึงเสียงร้องของไก่ตัวผู้จะไพเราะกว่า ซึ่งลักษณะที่กล่าวมาจะถูกใช้เป็นการแยกแยะระหว่างตัวผู้กับตัวเมีย กรณีของนกก็มีเยอะเช่นกัน ที่นกตัวผู้มีสีสันสวยงามกว่านกตัวเมีย ทั้งนี้เพื่อแยกแยะลักษณะของตัวเอง

เหตุผลที่ไก่ชอบคุ้ยเขี่ยดิน
นกซึ่งอยู่ในกลุ่มไก่ฟ้าตลอดจนถึงไก่มักจะชอบเดินบนพื้นดินมากกว่าบินในอากาศ และยังชอบหาอาหารบนพื้นดิน ที่สำคัญไก่ยังติดนิสัยแบบนั้นอยู่ ถ้าเจอดินมันจะใช้เท้าที่แข็งแรงขุดคุ้ยเพื่อหาอาหาร อีกทั้งไก่ยังชอบเล่นบนดินหรือทราย เมื่อมันลุกออกจากพื้นดินจะมีทรายหรือดินติดตามขนของมัน ดังนั้น ถ้าสะบัดไปด้านหลังพยาธิหรือสิ่งสกปรกต่างๆที่ติดตามผิวหนังและขนจะหลุดออกไปซึ่งจะทำให้สะอาดขึ้น บางครั้งมันจะขึ้นไปนอนหรือนั่งบนที่สูง และเวลาที่อากาศร้อนไก่จะมีการปรับอุณหภูมิร่างกายด้วยวิธีการดังกล่าว

 

การทำความสะอาด

12

การทำความสะอาดคือการนำสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกไปและขัดส่วนที่สกปรกให้สะอาด การทำความสะอาดมีอยู่ในชีวิตประจำวัน เพราะการรักษาชีวิตให้ยืนยาวเป็นงานอย่างหนึ่งเช่นกัน ดังนั้น จะต้องจัดให้มีการทำความสะอาดทุกวัน ทุกเดือน หรือทุกฤดูกาล โดยอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำความสะอาด ได้แก่ น้ำยาทำความสะอาด ผ้าถูพื้น ไม้ถูพื้น แผ่นขัด ฟองน้ำ แวกซ์ ไม้กวาด เครื่องดูดฝุ่น ซึ่งจะสามารถใช้ในการปัดฝุ่นการกวาด การขัดเงา การเช็ดถู แต่ทว่าในปัจจุบันนี้มีการพัฒนาอุปกรณ์ทำความสะอาดภายในบ้านที่ใช้ควบคู่กับเครื่องดูดฝุ่น ซึ่งช่วยให้การทำความสะอาดง่ายขึ้น พร้อมทั้งยังลดเวลาและแรงงานที่จะใช้ในการทำความสะอาดได้ด้วย

 

แมว (Cat)

ช่วงแรกของการตั้งท้องของแมว

13

แมวท้องนานประมาณ 9 สัปดาห์ ถ้าช่วงที่ตั้งครรภ์ได้ 4 – 5 สัปดาห์ ความอยากอาหารของแม่แมวจะมีมาก แมวที่ท้องจะต้องการอาหารมากเป็น 2 – 4 เท่า และสิ่งนี้เป็นสัญชาตญาณในการดูดซึมสารอาหารของแม่แมวก่อนที่จะได้เวลาคลอด 
อาการที่บ่งบอกว่าแมวตั้งท้อง

  1. หนึ่งในอาการหลักของแมวท้องคือหัวนมจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู หลังจาก 1 สัปดาห์โดยประมาณของการตั้งท้อง
  2. ช่วงที่ตั้งท้องแมวจะแสดงพฤติกรรมความเป็นแม่ออกมา เช่น หาที่ทำรัง
  3. ดูแลตัวเองมากขึ้น
  4. เคลื่อนไหวน้อยลง
  5. สนใจแมวตัวอื่นน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมวตัวผู้
  6. แมวที่ตั้งท้องอาจจะไม่สบายบ่อยๆ
  7. น้ำหนักเพิ่มขึ้น 1 – 2  กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับจำนวนของลูกแมว
  8. ท้องจะเริ่มบวมขึ้น 

ช่วงหลังของการท้องของแมว
หลังท้องประมาณ 7 สัปดาห์ ท้องของแมวจะขยายตัว แม่แมวจะนอนมากเป็นพิเศษและจำเป็นต้องมีการเคลื่อนไหวอย่างพอเหมาะเพื่อความแข็งแรงและไม่ให้น้ำหนักเยอะจนเกินไป

การคลอดลูกแมว
แมวจะเริ่มเจ็บท้องคลอดในวันครบกำหนดคลอด ในช่วงนี้แมวจะลดความอยากอาหารและกินอาหารไม่ได้ แต่ว่าหลังคลอดเสร็จจะต้องเสริมสารอาหารให้กับแม่แมวด้วยนมหรือเนยแข็ง 

 

โน้ตเพลงในระยะแรก

14

โน้ตเพลงของดนตรีเริ่มแพร่หลายเหมือนกับภาพวาดในสมัยบาโรก (The Baroque Age) ยุคนี้จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากดนตรีในยุคอื่นๆอย่างชัดเจน โดยศูนย์กลางทางดนตรีได้เปลี่ยนจากเพลงแต่งเพื่อพิธีการทางศาสนาในโบสถ์มายังราชวังอันหรูหราหรือสังคมขุนนาง ดนตรีในยุคนี้เปี่ยมไปด้วยความหรูหรา สง่างาม ในยุคบาโรกได้เริ่มนิยมใช้สื่อที่ต่างกันตอบโต้กัน เช่น การบรรเลงเดี่ยวตอบโต้กับการบรรเลงกลุ่ม , เริ่มแต่งเพลงโดยให้เสียงคนร้องนำฟังชัดเจนและมีการเล่นดนตรีคลอ , เริ่มใช้บันไดเสียงเมเจอร์ (Major) และบันไดเสียงไมเนอร์(Minor)แทนโมด(Mode) มีการพัฒนาการบันทึกโน้ตเพลงจนใช้มาถึงปัจจุบัน และเป็นจุดเริ่มต้นของละครเพลงอย่างโอเปร่า (Opera) ที่เป็นที่นิยมในยุคบาโรก และเมื่อดนตรีเป็นที่สนใจมากขึ้น มันจึงถูกยกระดับให้เป็นงานศิลปะแขนงหนึ่ง ทุกวันนี้นักดนตรีแนวต่างๆที่มีพื้นฐานทางดนตรีตะวันตกได้มีการพัฒนาขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับโน้ตเพลงระดับเสียงต่ำ ผลจากการพัฒนาของกฎการประสานเสียงที่สำคัญทำให้เครื่องหมายดนตรีที่ซับซ้อนกว่าเกิดเป็นโน้ตเพลงขึ้นมา ขณะเดียวกันอิทธิพลของราชวังและสังคมขุนนางที่ชอบความฟุ่มเฟือย หรูหรา ได้ส่งผลให้ตัวโน้ตเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น

 

นันทา (Nanta)

15

“นันทา” มีความหมายเหมือนกับการเคาะหรือตีตามอารมณ์เหมือนกับการตีรัวอย่างรุนแรงของการแข่งขันชกมวย “นันทา” คือการแสดงแบบ Non - Verbal Performance (การแสดงที่ไม่ใช้คำพูด) นันทาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางดนตรีและท่าทาง ในยุคแรกของประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นผลงานการแสดงที่ใช้อุปกรณ์ประกอบจังหวะเหมือนการแสดง ซามูลโนลี (Samulnori : การแสดงของนักดนตรี 4 คนเล่นเครื่องดนตรีพื้นบ้านประเภทเคาะพร้อมกับเต้นไปด้วย) การแสดงซามูลโนลีของประเทศเกาหลีมีรูปแบบการแสดงแบบตะวันตก คือ มีเวทีเป็นฉากของห้องครัวใหญ่และมีนักแสดงเป็นพ่อครัวสี่คน ซึ่งแต่ละคนอยู่ในขั้นตอนการเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงแต่งงาน โดยการแสดงซามูลโนลีจะประกอบด้วยเครื่องครัว เช่น หม้อ กระทะ จาน ชาม เป็นต้น จุดสำคัญของการแสดงอยู่ที่การใส่พละกำลังและความเร็วเพื่อทำให้สามารถแสดงพลังแบบดั้งเดิมที่มีอยู่ในจังหวะของซามูลโนลีเป็นไปอย่างราบรื่น โดยทั่วไปถ้าเป็นการแสดงประกอบจังหวะและเสียงเคาะจะมีโครงเรื่องที่โดดเด่นบวกกับการแสดงที่น่าสนใจจึงทำให้สามารถสนุกได้ทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่

 

ฮากา (Haka)

16

ฮากาเป็นงานประเพณีที่ทำสืบต่อกันมาของชนพื้นเมืองเผ่าเมารีในประเทศนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นการร้องเพลงประกอบสัญญาณมือและการกระทืบเท้า แต่เดิมมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างพละกำลังและความกล้าในการพิชิตศัตรูให้กับนักรบเผ่าเมารีก่อนออกไปทำสงคราม แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ฮากาในสังคมของเผ่าเมารีได้เจอกับชนเผ่าอื่นๆ กิจกรรมดังกล่าวจึงเปลี่ยนเป็นพิธีที่เป็นทางการและปัจจุบันนี้ไม่ได้เป็นแค่การแสดงเฉพาะกลุ่มเมารีเท่านั้น แต่เป็นเครื่องหมายการค้าของประเทศนิวซีแลนด์โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมรักบี้ตัวแทนประเทศนิวซีแลนด์อย่าง ออลแบล๊ค (All Blacks) ได้มีการเต้นฮากาต่อหน้าทีมคู่แข่งและผู้ชม ซึ่งเป็นวิธีการสร้างความแข็งแรงผ่านท่าทางและลมหายใจที่สอดคล้องกัน ทั้งยังสามารถสร้างความสามัคคีในหมู่คณะได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้การเต้นฮากาจึงมีชื่อเสียงมาก

 

มิวสิคัล (Musical)

17

มิวสิคัล (Musical) เป็นศิลปะการแสดงบนเวทีที่เอาการเต้น บทเพลง และการแสดงมารวมเข้าด้วยกันทั้ง 3 อย่าง แต่เดิม Musical เป็นคำย่อของ Musical Comedy หรือ Musical Play ในประเทศอเมริกามีการจัดมิวสิคัลขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 โดยมีต้นกำเนิดจากละครเวทีและโอเปร่าของยุโรป โดยโอเปร่าเป็นการแสดงที่ใช้บทเพลงประกอบการร้องทั้งหมดซึ่งต่างจากมิวสิคัลที่เป็นการแสดงที่ผสมผสานกันระหว่างบทเพลงและบทสนทนา จากจุดนี้จึงให้เป็นวิธีการแบ่งแยกละครที่มีแค่บทสนทนาให้เป็นละครเวที ในปี 1728 มิวสิคัลมีขึ้นครั้งแรก โดยจอห์น เกย์  (John Gay) เรื่อง The Beggar’s Opera ซึ่งได้จัดการแสดงขึ้นครั้งแรกในลอนดอน มิวสิคัลมีความเจริญรุ่งเรืองมากในอเมริกา เช่น เรื่อง (The Phantom of the Opera), (West Side Story), (The Sound of Music) และต่อมาจึงได้มีการสร้างเป็นภาพยนตร์